การดวลตัวต่อตัวเป็นสิ่งที่เฮดโค้ชอาร์เน่อ เน้นย้ำถึงความสำคัญมาตั้งแต่นัดเปิดสนาม

ตอนนั้นเขาเผยว่า 45 นาทีแรกที่ พอร์ทแมน โร้ด ลิเวอร์พูล ตกเป็นรองในด้านนั้น จึงจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงตอนช่วงพักครึ่ง

Duel หรือการดวลต่อตัว หมายถึง การเผชิญหน้าระหว่างผู้เล่นสองคนในสถานการณ์ที่ต้องแย่งบอลหรือเพื่อครอบครองบอล

เช่น การแย่งบอลจังหวะ 1-1 หรือการดวลลูกกลางอากาศ

การดวลตัวต่อตัวนี้ มีความสำคัญไม่น้อย มันเป็นการวัดเรื่องของทักษะ, ความเร็ว, ความแข็งแกร่ง และการอ่านเกม

แต่เชื่อหรือไม่ว่า 8 เกมที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล ชนะการดวลกับคู่แข่งได้แค่นัดเดียวเท่านั้น…

ตั้งแต่ช่วงแรกของรอบลีกเฟส แชมเปี้ยนส์ ลีก ลิเวอร์พูล ถูกมองว่ามีโอกาสสูงที่จะจบอันดับ 8 ทีมแรก และสามารถหลีกเลี่ยงรอบเพลย์ออฟ

ซึ่งจะทำให้พวกเขามีเวลาพักสองสัปดาห์ตอนเดือนกุมภาพันธ์

อย่างไรก็ตาม ความหวังการได้พักฟื้นกลับถูกพับลง เนื่องจากโปรแกรม พรีเมียร์ลีก ถูกกำหนดใหม่

มีเกม เมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้ ถูกขยับจากเดือนธันวาคมมาแข่งในวันที่ 12 กุมภาพันธ์

โปรแกรมเจอ แอสตัน วิลล่า เลื่อนจาก 16 มีนาคมมาเป็น 19 กุมภาพันธ์ หลังจาก ลิเวอร์พูล ผ่านเข้าชิงฯ คาราบาว คัพ

การเล่นเกมลีก 5 นัดใน 15 วัน กลายเป็นช่วงเวลาที่พอบอกได้ว่าชี้ขาดผลงาน พรีเมียร์ลีก

ช่วงเวลาดังกล่าว ลิเวอร์พูล ทุ่มสุดตัว

คว้าชัยชนะ 3 นัดเหนือ วูล์ฟส์, แมนฯ ซิตี้ และ นิวคาสเซิ่ล ส่วนเกมกับ เอฟเวอร์ตัน, แอสตัน วิลล่า ผลออกเสมอ

ผลลัพธ์ออกมาคือเก็บได้ 11 จาก 15 คะแนน ขณะเดียวกัน อาร์เซน่อล ทำแต้มหล่น 3 เกม

แน่นอน มันส่งผลให้ ลิเวอร์พูล ขยายระยะห่างแต้มออกไป แต่ต้องแลกมาด้วยการกรำศึกหนักของนักเตะตัวหลัก

ในช่วงเวลาดังกล่าว มีผู้เล่นเอาท์ฟิลด์ 7 คน ได้แก่ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์, อิบราฮิม่า โกนาเต้, ไรอัน กราเฟนแบร์ก, อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์, โดมินิค โซโบซไล และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่ต้องออกสตาร์ทเป็นตัวจริงทุกเกม

หลังผ่านช่วงโปรแกรมหนัก ๆ แบบนั้นไปแล้ว ผลกระทบที่ตามมาเริ่มแสดงให้เห็น

ลิเวอร์พูล เผชิญกับความยากใน แชมเปี้ยนส์ ลีก ทั้งที่ตัวเองผ่านเข้ารอบด้วยการจบอันดับหนึ่ง

โชคร้ายหรือไม่ ไม่ทราบ แต่ที่แน่ ๆ เลยคือ โชคไม่ดีที่ถูกจับมาเจอ ปารีส แซงต์-แชร์กแม็ง

แม้เลกสองที่ แอนฟิลด์ ลิเวอร์พูล สามารถยกระดับความเข้มข้นของเกมขึ้นมาได้ แต่กลับไม่สามารถรักษามันไว้ได้ตอนช่วงต่อเวลาพิเศษ

นับตั้งแต่เกมกับ เอฟเวอร์ตัน เป็นต้นมา ลิเวอร์พูล แพ้การดวล (Duel) ให้แก่คู่แข่ง 7 จาก 8 นัด

มีแค่เกมชนะ นิวคาสเซิ่ล ที่ แอนฟิลด์ เท่านั้นที่พวกเขามีตัวเลขด้านนั้นเหนือกว่า

โดยนัดดังกล่าว เอ็ดดี้ ฮาว กุนซือ “สาลิกาดง” ยอมรับตามตรงว่า นิวคาสเซิ่ล ไม่อยากแบไต๋เกี่ยวกับเรื่องแท็กติก

แม้สถิติการดวลอาจไม่ใช่ตัวตัดสินผลการแข่งขันโดยตรงเสมอไป

แต่เมื่อพิจารณาถึงแนวทางการเล่นของ อาร์เน่อ ที่เน้นการเข้าปะทะและดวลตัวต่อตัวแล้ว

มันกลายเป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างชัดเจนเลยล่ะ

วิธีแก้ไข คืออาจต้องจัดการความเหนื่อยล้าของผู้เล่น ให้นักเตะได้ผ่อนอย่างเพียงพอ

ถึงกระนั้น จากการทำทีมของ อาร์เน่อ มองได้ว่ามีการหมุนเวียนนักเตะน้อยเกินไป

อาร์เน่อ เคยถูกถามเกี่ยวกับ -ความโชคดีเรื่องอาการบาดเจ็บ- เมื่อเทียบกับทีมอื่น

แต่เขาก็โต้กลับด้วยการกล่าวถึงความยอดเยี่ยมของทีมงานเบื้องหลังที่ช่วยป้องกันเรื่องอาการบาดเจ็บ

นอกจากนี้ อาร์เน่อ ยังชี้ให้เห็นว่า ลิเวอร์พูล ต้องรับมือกับอาการบาดเจ็บระยะกลางถึงระยะยาวของผู้เล่นสำคัญอย่าง อลีสซง, เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, คอเนอร์ แบร็ดลี่์ย์, โกนาเต้, โจ โกเมซ, คอสตาส ซิมิกาส และ ดีโอโก้ โชต้า

สถิติความฟิตของ ลิเวอร์พูล ดีขึ้นจากซีซั่นก่อน(2023/24) โดยตอนนั้น เจอร์เก้น คล็อปป์ ต้องหันไปใช้งานนักเตะดาวรุ่งเพื่อช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ คาราบาว คัพ และลุ้นแชมป์ลีก

อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบจำนวนเวลาลงสนามซีซั่นนี้กับซีซั่นก่อนแล้วนั้น

ฤดูกาลนี้ เหลือเวลานักเตะเวลาอีก 810 นาที (9 นัด) มีผู้เล่น 10 คนที่มีแนวโน้มลงเล่นเกิน 3,000 นาทีทุกรายการ เทียบกับปีก่อนที่มี 7 คน

อาการบาดเจ็บอาจส่งผลต่อสถิตินี้ได้ แต่สิ่งที่แน่ชัดคือ นักเตะบางคนต้องรับภาระหนักกว่าฤดูกาลที่แล้ว

ฤดูกาล 2023-24 ลิเวอร์พูล มีนักเตะ 10 คนที่ลงเล่นราว 2,000-3,000 นาที ขณะที่สำหรับฤดูกาลนี้ หาก อลีสซง ได้ลงเล่นเป็นส่วนใหญ่ในช่วงที่เหลือของซีซั่น จะทำให้ในฤดูกาล 2024-25 มีนักเตะที่เข้าข่ายนั้นสูงสุด 6 คน

ซึ่งนั่นคือกรณีที่นับรวม ควีวิน เคลเลเฮอร์ กับ ซิมิกาส ที่เป็นเพียงตัวสำรองเข้าไปแล้วด้วย

ตลอดฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูล มีการเปลี่ยนแปลงตัวจริงน้อยมาก มีเพียง น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ (23 คน) ที่ใช้นักเตะน้อยกว่าพวกเขา (24 คน)

แม้ ลิเวอร์พูล อยู่ในอันดับที่ 7 ร่วมในเรื่องจำนวนการเปลี่ยนแปลงผู้เล่นตัวจริงต่อเกม (เฉลี่ย 1.8 คน) แต่พวกเขาก็เป็นทีมที่หมุนเวียนนักเตะน้อยที่สุดในบรรดาทีมที่เล่นฟุตบอลยุโรป

ลิเวอร์พูล เป็นทีมเดียวในกลุ่มนี้ที่เปลี่ยนผู้เล่นตัวจริงน้อยกว่า 2 คนต่อเกม

ทีมอย่าง เบรนท์ฟอร์ด และ เอฟเวอร์ตัน ไม่ต้องเล่นทุกกลางสัปดาห์ และไม่มีเส้นทางฟุตบอลถ้วย ซึ่งหมายความว่าการหมุนเวียนนักเตะของพวกเขาจึงไม่เป็นปัญหา

ใครสมควรได้รับโอกาสมากขึ้น?

อาร์เน่อ และทีมงานมีช่วงเวลาพักเบรกทีมชาติเพื่อรีเซ็ตและทบทวน ก่อนที่ ลิเวอร์พูล จะกลับมาเจอ เอฟเวอร์ตัน ในวันที่ 2 เมษายน

ด้วยเกมลีกที่เหลืออีก 9 นัด และการไม่มีเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก มาคั่นกลาง หมายความว่า ลิเวอร์พูล จะมีเวลาฟื้นฟูร่างกายระหว่างเกมแต่ละนัดมากขึ้น

ซึ่งนั่นอาจส่งผลให้ทีมยังคงจำกัดการหมุนเวียนผู้เล่นต่อไป อย่างไรก็ตาม ปัญหาล่าสุดของลิเวอร์พูลไม่ใช่แค่เรื่องสภาพร่างกายเพียงอย่างเดียว

แนวรุกที่ยังไม่สามารถผลิตสกอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดูเหมือนจะถึงเวลาต้องมีการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เคียซ่า ซึ่งอาจสมควรได้รับโอกาสลงสนามมากขึ้น หลังจากที่เขาทำประตูได้ในเกมที่เวมบลีย์

ขณะเดียวกัน อาร์เน่อ เลือกที่จะส่ง โคดี้ กัคโป ลงสนาม แม้ว่าจะดูยังไม่ฟิตเต็มร้อยหลังจากบาดเจ็บ เป็นสัญญาณว่า เคียซ่า ยังอยู่ในลำดับท้าย ๆ ของตัวเลือกในแนวรุก

เมื่อดูจากจำนวนเวลาเล่นของผู้เล่น จะเห็นได้ว่าจำนวนเวลาลงสนามของ เอ็นโด และ เอลเลียตต์ ลดลงอย่างชัดเจน

การเสริมความแข็งแกร่งในแดนกลางกลายเป็นหนึ่งในลำดับความสำคัญที่ต้องทำ

แม้ว่าทั้ง เอ็นโด และ เอลเลียตต์ จะเคยมีบทบาทสำคัญจากม้านั่งสำรองในบางช่วง แต่ก็แสดงให้เห็นว่าพวกเขาอาจไม่ใช่ผู้เล่นที่เหมาะกับสไตล์การเล่นของ เฮดโค้ชดัตช์

ทั้งหมดนี้อาจขึ้นอยู่กับว่า ลิเวอร์พูล จะการันตีคว้าแชมป์ลีกได้เมื่อไหร่

จนกว่าจะถึงตอนนั้น อาร์เน่อ น่าจะยังคงยึดผู้เล่นตัวหลักที่เขาไว้ใจ แต่หลังจากนั้น ผู้เล่นคนอื่น ๆ อาจได้รับโอกาสพิสูจน์ตัวเองว่าพวกเขาสมควรเป็นส่วนหนึ่งของแผนการทำทีมในฤดูกาลหน้าหรือไม่

หน้าแรก


สล็อต365 UFA365 แทงบอล365
UFA365 UFA DIAMOND สมัครฟรี คลิ๊กเลย ➢ https://member.ufadm8.com/register.php
สอบถามเพิ่มเติม 🆔 𝙇𝙄𝙉𝙀 : https://lin.ee/QJ7cl29